เรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติ ณ เวลานี้เลยก็ได้จากการที่กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกมาเปิดเผยในวันที่ 5 เมษายน 2565 ว่าด้วยเรื่องของ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ล่าสุดปัจจุบันในเดือน เงินเฟ้อเดือนมีนา 2565 เทียบกับเดือนมีนาคม 2564 เพิ่มขึ้นถึง 5.73% นับว่าสูงที่สุดสุดในรอบ 13 ปี นับจากปี 2551 ซึ่งการที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ไม่ใช่สัญญาณที่ดีอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะทำให้ระบบเศรษฐกิจสั่นคลอนแล้วนั้น ยังมีผลกระทบต่าง ๆ ตามมาอีกเพียบทั้งราคาน้ำมัน และราคาทองที่พุ่งสูงขึ้น วันนี้ The Thaiger จึงจะพาทุกท่านมาเจาะลึกถึงว่า เงินเฟ้อเดือนมีนา นั้นคืออะไร ต่างจากเงินฝืดอย่างไร เกิดจากอะไร ? มีผลกระทบอย่างไรกับประชาชนทุกคน ยิ่งในช่วงเงินเฟ้อ มี.ค.ที่พุ่งสูงกี่เปอร์เซ็นต์ 2565 มีวิธีการรับมือกับสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างไร สรุปมาให้อย่างง่าย
เงินเฟ้อเดือนมีนา 2565 เพิ่ม 5.73% คืออะไร ผลกระทบและวิธีแก้ สรุปมาให้ใครได้ประโยชน์
เงินเฟ้อ (ภาษาอังกฤษ : Inflation) คือ ภาวะที่ราคาสินค้า หรือบริการโดยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง หากเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบกับฐานะ และความเป็นอยู่ของประชาชน หรือถ้าพิจารณาจากค่าของเงิน คือภาวะเศรษฐกิจ ที่ค่าเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้การจะซื้อของชิ้นเดิมนั้นต้องใช้เงินมากกว่าเดิม แปลง่าย ๆ อีกแบบก็คือของแพงขึ้นนั่นเอง
ตัวอย่างของภาวะอัตราเงินเฟ้อที่เห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อ 40 ปีก่อน เงิน 40 บาทสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ถึง 4 ชาม แต่ในปัจจุบันเงิน 40 บาท กลับสามารถซื้อก๋วยเตี๋ยวได้แค่ชามเดียวเท่านั้น หรือในบางร้านอาจซื้อไม่ได้เลย และในปีก 30 ปีข้างหน้า เงิน 40 บาทก็อาจจะซื้อได้แค่น้ำเปล่าขวดเล็ก ๆ เพียงเดียวเท่านั้น ยิ่งโดยเฉพาะช่วงนี้กับเงินเฟ้อเดือนมีนา ที่กำลัเป้นที่น่าจับตามอง
ดังนั้น เพื่อควบคุมให้สภาวะทางการเงินปรเทศ และฐานเศรษฐกิจไม่แผลผันไปจากเดิมมาดนัก จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลเรื่องเงินเฟ้อ คือ กระทรวงพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย โดยที่กระทรวงพาณิชย์ จะมีหน้าที่ในการการดูแลราคาสินค้าและบริการไม่ให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาส หรือเอาเปรียบผู้บริโภค นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ติดตามรวบรวมข้อมูลราคาสินค้า และบริการที่ผู้บริโภคซื้อเป็นประจำทุกวันจากตลาดและแหล่งจำหน่ายต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำมาคำนวณจัดทำเป็นดัชนีที่เรียกว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค และเผยแพร่ให้ประชาชนได้ทราบถึงภาวะเงินเฟ้อ สามารถวัดได้จากการเปลี่ยนแปลงของดัชนีดังกล่าว ซึ่งเรียกตัวชี้วัดนี้ว่า “อัตราเงินเฟ้อ”
ในส่วนหน้าที่ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินนโยบายการเงินผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า “อัตราดอกเบี้ยนโยบาย” เพื่อดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และไม่ผันผวน เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว และความกินดีอยู่ดีของประชาชน
เงินเฟ้อ สาเหตุเกิดจากอะไร ?
สาเหตุหลักของการเกิดภาวะอัตราเงินเฟ้อนั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 สาเหตุใหญ่ ๆ ได้แก่
ประชาชนต้องการซื้อสินค้า และบริการเพิ่มขึ้น (ภาษาอังกฤษ : Demand-Pull Inflation) ประกอบกับสินค้าและบริการนั้น ๆ ในตลาดมีไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขายปรับราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น
ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น (ภาษาอังกฤษ : Cost-Push Inflation) คือ หากผู้ผลิตไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จะทำให้ผู้ผลิตต้องปรับราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้นด้วย
จะสังเกตุได้ว่าทั้ง 2 สาเหตุนี้นั้น ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงแก่ประชาชน ผู้บริโภคอย่างยิ่งโดยเฉพาะช่วงเดือนมีนาคม 2565 ที่มีภาวะเพิ่มขึ้นถึง 5.73% ทำให้การเพิ่มราคาสินค้าจากผู้ประกอบการ แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคต้องใช้เงินมากขึ้น เพื่อที่จะซื้อสินค้าที่ต้องการ
เงินเฟ้อ ใครได้ประโยชน์ ?
แน่นอนว่าทุกระบบหมุดเวียนเศรษฐกิจ ต้องมีผู้ได้ และผู้เสียประโยชน์ โดยเกิดเป็นคำถามกันอย่างมากว่าเงินเฟ้อนเช่นนี้ ใครได้ประโยชน์ คำตอบก็คือ รัฐบาลนั่นเอง เพรารัฐบาล สามารถเรียกเก็บภาษีจากประชชนได้มากขึ้น ซึ่งสวนทางกับรายจ่ายของรัฐที่ยังคงที่เท่าเดิม ทำให้ภาวะเงินเฟ้อนั้น รัฐบาลมักจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ และเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
เงินเฟ้อ เงินฝืด ต่างกันอย่างไร ?
อย่างที่เราได้ทราบกันไปว่าอัตราเงินเฟ้อนั้น คือสินค้ามีราคาเพิ่มสูงขึ้นสานทางกับมูลค่าของเงืนที่ลดลง ภาวะเงินฝืด จึงเป็นเหมือนการสวนทางกัน นั่นก็คือ เมื่อราคาสินค้าและบริการลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีสาเหตุหลายประการ เช่น ความต้องการซื้อสินค้าและบริการของประชาชนลดลง หรือ ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ มีไม่เพียงพอกับความต้องการ
ซึ่งอาจทำให้ราคาสินค้าปรับลดลง ผู้ผลิตเองก็อาจไม่ต้องการผลิตสินค้าและบริการในปริมาณเท่าเดิม ส่งผลให้ลดกำลังการผลิตลง และเป็นผลให้เศรษฐกิจซบเซาในที่สุด ทั้งภาวะเงินเฟ้อและเงินฝืด เกิดจากการเคลื่อนไหวขึ้นลงของเศรษฐกิจตามวัฏจักร แต่หากมีความรุนแรงและยืดเยื้อ ก็ล้วนส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความกินดีอยู่ดีของประชาชนด้วยกันทั้งสิ้น
สถานการณ์เงินเฟ้อล่าสุดในประเทศไทย นั่นเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ภายหลังการออกมาอัปเดตจากกระทรวงพาณิชย์ ได้มีการชี้ให้เห็นชัดถึงภาวะเงินเฟ้อที่กำลังก่อตัวหนักขึ้นในปัจจุบัน จากเดิมที่เคยประมาณการไว้เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.7 – 2.4% ซึ่งในเดือนมีนาคม 2565 กลับพุ่งสูงถึง 5.73% ถือได้ว่าเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปีนับตั้งแต่ปีพ.ศ.2551
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป