กลายเป็นเหตุสุดเศร้าหลังจากที่ หนุ่มสอบติดตำรวจจมน้ำ เสียชีวิต ขณะกำลังฝึกซ้อมร่างกาย เพื่อสอบสมรรถภาพร่างกายในสัปดาห์หน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จอหอ จ.นครราชสีมา ได้รับรายงานเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 14 เมษายน ที่ผ่านมาว่า มีคนสูญหายภายในน้ำ ที่สระน้ำภายในโรงเรียนตำรวจภูธร 3 จอหอ ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงรีบประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรีบลงพื้นที่ตรวจสอบ
โดยเมื่อถึงจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่นัดประดาน้ำได้ลงค้นหาผู้สูญหายภายในสระ
ทราบชื่อคือ นายรชานนท์ ตากิ่มนอก อายุ 22 ปี ชาว จ.นครราชสีมา โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที จึงพบร่าง จากการสอบสวนทำให้ทราบว่าผู้ตาย ได้สอบผ่านข้อเขียนเป็นนักเรียนโรงเรียนตำรวจภูธร 3 จอหอ จ.นครราชสีมา โดยมีกำหนดการจะต้องทดสอบสมรรถภาพร่างกายด้วยการวิ่งและว่ายน้ำในสัปดาห์หน้า ซึ่งนายรชานนท์ไม่ได้เดินทางกลับบ้านช่วงสงกรานต์ เพราะต้องการเตรียมความพร้อมก่อนทดสอบสมรรถภาพในสัปดาห์หน้า
จากนั้นได้ลงไปฝึกว่ายน้ำในสระน้ำดังกล่าวกับเพื่อนอีก 1 คน ขณะที่กำลังฝึกว่ายน้ำอยู่นั้น นายรชานนท์ ได้จมหายไปต่อหน้าเพื่อน โดยเพื่อนไม่สามารถช่วยเหลือได้ จึงได้ว่ายขึ้นฝั่งและแจ้งให้ญาติช่วยกันค้นหา ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่จะพบร่างของนายรชานนท์ในที่สุด
สำนึก และความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ทุกคนทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมี เพื่อประคับประคองให้เราอยู่รอดปลอดภัยจากโรคระบาด ใช้ชีวิตได้ ทำมาหากินได้ แต่ควรเป็นไปในแนวทางที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม
เป็นที่ชัดเจนว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (เข็มที่ 3) นั้นมีความจำเป็น เพื่อที่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการป่วยรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล และการเสียชีวิต ในขณะที่การฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็มนั้น จะได้ผลในการป้องกันช่วงแรก แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
ทั้งนี้ในกลุ่มคนที่มีแข็งแรงดีนั้น ผลในการป้องกันยาวนานกว่า 4-6 เดือนหลังฉีดเข็มกระตุ้น ส่วนผลของวัคซีนในการป้องกันการติดเชื้อนั้น ดูจะหวังได้น้อย ข้อมูลข้างต้นเน้นย้ำให้เราเห็นถึง 2 เรื่องสำคัญคือ
หนึ่ง การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นมีความจำเป็น เพื่อหวังผลในการลดโอกาสป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
และสอง แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ก็อาจติดเชื้อได้ และยังมีโอกาสป่วยได้ ตายได้ ดังนั้นการป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตร
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โต้ ติดโควิดโอมิครอน ดีกว่า เข้ารับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ไม่เป็นความจริง
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่อนจดหมายแถลงโต้ หลังมีชาวเน็ตระบุว่า ติดโควิดโอมิครอน ดีกว่า เข้ารับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ย้ำไม่เป็นความจริง
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ร่อนแถลงโต้ตอบในกรณีที่มีผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ ออกมาโพสต์แสดงความเห็นว่า ติดโควิดโอมิครอนดีกว่า เข้ารับฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากมีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาตินั้น ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติออกมาตอบโต้ว่าไม่เป็นความจริง
โดยข้อความระบุว่า “ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อออนไลน์ว่า ไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการฉีด “วัคซีนโควิด” เข็มกระตุ้น การปล่อยให้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ โอมิครอน มีความปลอดภัย และเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาตินั้น สถาบันวัคซีนฯ มีความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับการส่งต่อข้อมูลที่มีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนดังกล่าวอย่างมาก
สถาบันวัคซีนฯ ขอยืนยันว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในสถานการณ์ที่ไวรัสมีการกลายพันธุ์อย่างรวดเร็วนั้น มีความจำเป็นอย่างมาก โดยการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยลดอาการป่วยที่รุนแรง ลดโอกาสการเสียชีวิต และลดโอกาสการเกิดภาวะ Long COVID ในผู้ใหญ่ รวมถึงภาวะอักเสบทั่วร่างกายในเด็ก (Mis-C) จากการป่วยด้วยโควิดได้จริง หลักฐานเชิงประจักษ์ชี้ว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถลดอาการเหล่านี้ลงได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่เคยฉีดวัคซีนเลย หรือฉีดวัคซีนแล้วแต่ไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ การฉีด “วัคซีนโควิด” เข็มกระตุ้น มีการดำเนินอย่างกว้างขวาง ทำให้มีรายงานยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิผล ของการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นจำนวนมากจากหลายประเทศทั่วโลก องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศสนับสนุนให้ประชาชนเข้ารับวัคซีนโควิด เข็มกระตุ้น เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก และเสียชีวิตโดยในประเทศไทยได้มีการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนที่ใช้ในประเทศด้วยเช่นกัน ผลการศึกษาในปัจจุบัน (ข้อมูลการประเมินประสิทธิผลวัคซีนจากการใช้จริง จ.เชียงใหม่ ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.65 ) ระบุว่า
“ในสถานการณ์การระบาดของโอมิครอน การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่สามารถป้องกันการเสียชีวิตได้มากกว่า 85% และหากได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ในระยะเวลาที่เหมาะสม สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 34-68% และเพิ่มการป้องกันการเสียชีวิตได้ถึง 98-99% และเมื่อมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 4 เมื่อครบกำหนดการเข้ารับวัคซีน พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อได้สูงถึง 80-82% โดยยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 ในกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 4”